Friday, September 21, 2012

แนะนำเว็บไซต์

ขอแนะนำบล็อกที่รวบรวมผลงานหนังสือนิทานอีบุ้ค (e-book) หรือหนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์ ผลงานทั้งหมดจัดทำขึ้นโดยนักศึกษาที่เรียนในรายวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสานสนเทศเพื่อการศึกษา สอนโดย อาจารย์อัจฉริยะ วะทา โดยบล็อกนี้มีชื่อว่า atinno.blogspot.com
มีหนังสือนิทานอีบุ้คที่เป็นฝีมือของนักศึกษาในหลายๆ สาขา หลายเรื่องน่าอ่านและสามารถโหลดเก็บไว้หรือนำไปสอนได้ด้วย

อย่าลืมนะค่ะ เป็นเว็บที่อยากจะแนะนำ เหมาะสำหรับผู้ที่อยากจะทำหนังสือแบบทำมือและทำเป็นอีบุ้ค (e-book)

โครงการเรียนรู้จากหน่วยงานภายนอกมหาวิทยาลัย
ณ บ้านหลังเรียนปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช

แหล่งเรียนรู้ชุมชน ครอบครัวปู่ทวดครูสิงห์ สืบสานเจตนารมย์บรรพบุรษจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านหลังเรียน สอนพิเศษให้กับนักเรียนในชุมชน
     
      แหล่งเรียนรู้รู้ชุมชนหรือบ้านหลังเรียนของหลวงปู่ทวดครูสิงห์ ซึ่งเป็นสถานทีบ้านหลังเล็กเปรียบเหมือนสถานศึกษาศิษย์ที่บุตรและธิดาได้สืบสานอุดมการณ์ต่อจากวิถีคิดของพ่อกับแม่ว่า ต้องการสร้างโรงเรียนให้การศึกษาแก่บุตรหลานในชุมชนตนเอง ที่บ้านกุดแคนหมู่ 6 ตำบลหนองโน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ครอบครัวปู่ทวดครูสิงห์และแม่สง่า ฤทธิเดช ได้ร่วมกันจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านหลังเรียนปู่ทวดครูสิงห์แม่สง่า ฤทธิเดช เปิดสอนพิเศษให้กับนักเรียนในชุมชนตำบลหนองโน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม โดยเปิดทำการสอนให้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 6 มีนักเรียนทั้งสิ้น 80 คน จาก 12 หมู่บ้าน เปิดเรียนวันเสาร์ และวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 09.30 น.-12.30น.โดย โดยห้องเรียนใช้บริเวณห้องโถงข้างบ้าน และสวนหลังบ้านใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติ

 โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสารสนเทศเพื่อการศึกษา

สามารถดาวน์โหลดรายละเอียดโครงการคลิกที่นี่

โครงการเรียนรู้เชิงวิชาการจากหน่วยงานภายนอกมหาวิทยาลัย


ณ. “แหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านหลังเรียนปู่ทวดครูสิงห์”

 โครงการบ้านหลังเรียน “แหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านหลังเรียนปู่ทวดครูสิงห์” บ้านกุดแคน ต.หนองโน อ.เมือง จ.มหาสารคาม เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อสานต่ออุดมการณ์ของ “ปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช” อดีตครูประชาบาลที่มีความต้องการสร้างโรงเรียนให้ชุมชน และเพื่อแก้ปัญหาเยาวชนใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนไปทำกิจกรรมเสี่ยง ด้วยการเปิดพื้นที่สร้างสรรค์เพื่อกันเด็กและเยาวชนไม่ให้หลงทางเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่เสี่ยงในสังคม ให้หันมาใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ภายใต้แนวคิดเด็กนำผู้ใหญ่หนุนโดยมีดร.ประสพสุข ฤทธิเดช หรือ “อาจารย์ป้าต๋อย” ผู้อำนวยการและผู้ประสานงานแหล่งเรียนรู้ชุมชนฯ
สามารถดาวน์โหลดรายละเอียดโครงการ คลิกที่นี่


นิทานเรื่อง ลูกแมวของหนูดี
 แต่งโดย นางสาวจิรฐา ทิพราช
รหัสนักศึกษา 533410010306
 จำนวน 13 หน้า

 1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13

สามารถดาวน์โหลดได้คลิกที่นี่






Wednesday, September 19, 2012

สุนทรียภาพทางภาษา


 สุนทรียภาพทางภาษา 

        เมื่อกล่าวถึงวรรณคดี เป็นศิลปะที่ต้องมีสุนทรียภาพทางภาษา ผู้แต่งต้องพิถีพิถัน คำนึงถึงภาษาที่จะเสนอความคิดและต้องกำหนดเรื่องให้เหมาะสมด้วย รูปแบบวรรณคดีไทย สามารถแบ่งได้ 2 แบบ

      1. การยึดลักษณะการแต่งเป็นหลัก คือ ร้อยแก้ว - ร้อยกรอง ในแต่ละประเภท ยังมี รูปแบบแยกย่อยออกไป เช่น ร้อยกรอง แบ่งเป็น กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ เป็นต้น
      2. การคำนึงถึงประโยชน์การใช้เป็นหลัก คือ
  • วรรณคดีบริสุทธิ์ (Pure Literature) เขียนขึ้นเพื่อความเพลิดเพลินหรือเพื่อ สนองอารมณ์โดยเฉพาะ ไม่มุ่งประโยชน์อย่างอื่นโดยตรง
  • วรรณคดีประยุกต์ (Applied Literature) เขียนขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างใด อย่างหนึ่ง เช่น เพื่อสั่งสอนอบรม เพื่อสดุดีวีรกรรม

วรรณคดีเป็นประณีตศิลปะ


วรรณคดีเป็นประณีตศิลปะ 

             นักปราชญ์ได้จัด วรรณคดี การวาดรูป การปั้นสลัก ดนตรี และการก่อสร้างเข้าไว้ใน พวกประณีตศิลปะ (Fine Arts) ส่วนศิลปะประเภทอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกันและมีจุดหมายพ้องกัน คือการสร้างสรรค์ความงามก็อนุโลมเรียกประณีตศิลป์ด้วย เช่น การแสดงสุนทรพจน์ และการฟ้อน รำ ความจริง ความแตกต่างระหว่างศิลปะเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราจะเห็นได้โดยไม่ยากนัก การวาดรูป และการปั้นสลักเป็นศิลปะประเภทที่เลียนธรรมชาติ คือ เอาธรรมชาติเป็นหุ่น การวาดรูปต่างกับ การถ่ายรูป โดยนัยที่ว่าศิลปินผู้วาดย่อมวาดไปตามอารมณ์และทัศนะของตน บางคนอาจจะวาดต้น ไม้สีน้ำเงินหรือสีแดง บางคนใช้เพียงเส้นในการแสดงออก ส่วนการถ่ายภาพเป็นวิธีลอกแบบธรรม ชาติโดยตรง บุคลิกลักษณะของผู้ถ่ายมีส่วนประกอบน้อยที่สุด ทั้งสองวิธีมีลักษณะที่พ้องกันอยู่ คือ การยึดธรรมชาติ และเลียนแบบจำลองธรรมชาติเป็นหลัก การปั้นสลัก (sculpture) ก็จัดเข้าไว้ใน ศิลปะบางประเภทนี้ แต่ไม่ใช่การจำลองธรรมชาติโดยตรง วัสดุในการสร้าง เช่น สำริด หรือหิน อ่อน นั้นทำให้แตกต่างจากความเป็นจริง มีศิลปะประเภทหนึ่งที่ยากจะบอกว่าเป็นการเลียนธรรม ชาติ คือ ดนตรีและสถาปัตยกรรม ดนตรีที่ไพเราะไม่จำเป็นต้องเป็นดนตรีที่ประกอบขึ้นจากเสียงที่ เลียนธรรมชาติ เช่น เสียงที่หนัก เบา สูงต่ำ แหลม ทุ้ม ทำให้เกิดความรู้สึกต่าง ๆ ดนตรีคือการ เรียงลำดับเสียงให้ไพเราะโดยการลำดับและเลือกเฟ้น 

วรรณคดี เป็นศิลปะที่พึงจัดเข้าไว้ในจำพวกที่เลียนธรรมชาติ เช่นเดียวกับการวาดเขียน และการปั้นสลัก สิ่งที่เป็นเนื้อเรื่อง (material) ของวรรณคดีก็เช่นเดียวกับการวาดรูป การปั้น สลัก กล่าวคือ ธรรมชาติ ซึ่งรวมมนุษย์ สัตว์ และธรรมชาติภายนอกคือ ป่า ทะเล ลำเนาไพร เครื่องมือ ที่กวีใช้ก็คือ คำและปากกา ซึ่งเปรียบได้กับสิ่งของช่างสลัก สีและพู่กันของช่างเขียน มนุษย์บังคับ ธรรมชาติให้เกิดเป็นศิลปวัตถุที่คล้อยตามทัศนะของตน 

การชมความงดงามของนางในวรรณคดี


การชมความงดงามของนางในวรรณคดี

            การชมความงดงามของนางในวรรณคดีไทย สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ การกล่าวชมแบบรวม และการกล่าวชมแบบแยกส่วน 

1. การกล่าวชมแบบรวม เป็นการพิจารณาความงามทั้งหมดของ ตัวละครนั้น กลวิธีที่ใช้คือ กวีอาจกล่าวชมตรง ๆโดยไม่มีการใช้ ความเปรียบ หรือกล่าวชมโดยใช้ความเปรียบก็ได้ ในกรณีที่มีการเปรียบเทียบจะพบลักษณะดังต่อไปนี้คือ การชมว่างามกว่าหญิงอื่น หญิงนั้นอาจจะเป็นมนุษย์ หรือเทวนารีก็ได้ เช่น 

“เห็นนางสีดาวิลาวัณย์ งามดั่งดวงจันทร์ไม่ราคี 
มาตรแม้นถึงองค์พระอุมา นางสุชาดาโฉมศรี 
นางสุจิตราเทวี สุนั้นทานารีอรไท 
ทั้งสุธรรมานงคราญ จะเปรียบงามเยาวมาลย์ก็ไม่ได้ 
ทั้งสวรรค์ชั้นฟ้าสุราลัย ไกลกันกับโฉมสีดา” 
(รามเกียรติ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) 

2. การกล่าวชมแบบแยกส่วน จำแนกเป็นการชมความงามเฉพาะใบหน้าและผิวพรรณ ซึ่งเป็นส่วนที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด และการชมความงาม ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายตามขนบวรรณคดี เช่นคิ้วงามเหมือนคันศร ตางามเหมือนเนื้อทราย จมูกงามเหมือนขอ หูงามเหมือนกลีบบัว 

ข้อสังเกตประการหนึ่งในการชมความงามของนางในวรรณคดี 
    ไม่ว่าชมแบบรวม หรือชมแบบแยกส่วน ผู้อ่านไม่สามารถแยกความแตกต่างอันเป็นลักษณะความงามเฉพาะตน ของนางในวรรณคดีแต่ละ เรื่องได้ เนื่องจากการชมความงามไปในทำนองเดียวกันตามขนบวรรณคดี 


รสแห่งวรรณคดี ๙ รส ในสันสกฤต


รสแห่งวรรณคดี ๙ รส ในสันสกฤต 


๑. ศฤงคารรส ( รติรส ) หมายถึงรสแห่งความรัก (เสาวรจนี นารีปราโมทย์ )


๒. หาสยรส หมายถึง รสแห่งความขบขัน ( เสาวรจนี )


๓. กรุณารส หมายถึง รสแห่งความสงสาร โศกเศร้า (สัลลาปังคพิสัย )


๔. รุทธรส หมายถึง รสโกรธ ไม่พอใจ ผิดใจ (พิโรธวาทัง )


๕. วีรรส หมายถึง รสแห่งความกล้าหาญ ( เสาวรจนี สัลลาปังคพิสัย )


๖. ภยานกรส หมายถึง รสแห่งความกลัว สะดุ้ง ( สัลลาปังคพิสัย )


๗. วิภัจฉรส หมายถึง รสที่ก่อให้เกิดความเกลียด ขยะแขยง ( พิโรธวาทัง )


๘.อัพภูตรส หมายถึง รสแห่งความอัศจรรย์ใจ ตื่นเต้น ( เสาวรจนี )


๙. ศานติรส รสแห่งความสงบ บริสุทธิ์ ( เสาวรจนี)



กลอนสอนใจ



กลอนสอนใจ
ความสุขคือการปล่อยวาง
ความสุขคือการชนะความอยาก
ความสุขคือความสงบ
ความสุขคือความโล่งโป่งเบาสบาย
ความสุขเกิดจากการได้เรียนรู้ธรรมชาติว่าเป็นอย่างไร
ความสุขคือการให้
ความสุขคือการได้ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น
ความสุขคือการละชั่ว กระทำแต่ความดี
ความสุขคือการไม่ยึดมั้นถือมั้น
ความสุขคือการได้ให้อภัย
ความสุขคือการไม่โกรร เกลียด ชิงชัง อิจฉาริษยา จองเวร
ความสุขคือการไม่โลภ อยากได้สิ่งของที่เป็นของคนอื่น
ความสุขคือการมีสันธ ความพอใจในสิ่งที่ตนเองมี

บทกวี น้ำตกเหวสุวัต


น้ำตกเหวสุวัต 

เหวสุวัตแก่งน้ำ ตกลง

เสียงซู่ชวนไหลหลง เล่นเร้น

สายธารแม่ยังคง เย็นชื่น

โฉมแม่เคยอาบเฟ้น อุ่นเนื้อเย็นใจ
















น้ำตกเหวสุวัต อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

บทกวี


ก้าวที่ยิ่งใหญ่

๑. หลายครั้งที่เธอล้าเกือบล่าถอย

แต่คนคอยเคียงข้างยังเคียงคู่

ใจมิอาจเย็นชากล้าทนดู

จึงหยัดสู้ร่วมใจไปพร้อมกัน ...




๒. ฟ้าพิสูจน์อีกหนหาคนกล้า

เจ็บก็ฝ่าล้าก็สู้ไปสู่ฝัน

มิตรภาพล้ำค่ากว่ารางวัล

เพื่อปลุกขวัญอีกหนถึงคนดี ...




๓. หลายครั้งที่เธอกล้ากว่าล่าถอย

เจ็บเพียงน้อยใช่ปลีกคิดหลีกหนี

รอยยิ้มทั้งน้ำตาคุณค่ามี

กับใจที่...“ชนะใจ”...ให้ทุกคน ...







การเขียนเรียงความ


                                                      การเขียนเรียงความ
เรียงความ คือการใช้ศิลปะทางการเขียนร้อยแก้วแสดงความรู้สึกนึกคิด จินตนาการ
และความเข้าใจของผู้เขียนอย่างสละสลวย เรียงความจะต้องประกอบด้วยส่วนที่เป็นคำนำ
เนื้อเรื่อง และสรุป
เรียงความที่ดีควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
มีเอกภาพ คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หมายความว่าไม่ให้เขียนนอกเรื่อง
             มีสัมพันธภาพ คือ ความสัมพันธ์กัน หมายถึง ข้อความแต่ละข้อความหรือแต่ละย่อหน้า
จะต้องมีสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน
            มีสารัตถภาพ คือ การเน้นสาระสำคัญของย่อหน้าแต่ละย่อหน้า และของเรื่องทั้งหมด
โดยใช้ประโยคสั้น ๆ สรุปกินความทั้งหมด

ขอเพิ่มเติมเป็นการส่วนตัวค่ะ
         ก่อนเขียนเรียงความนั้นจะต้องตีโจทย์ให้แตกว่า ชื่อเรื่องที่เขาให้มานั้น หมายถึงอะไร
เกี่ยวโยงกับอะไร ข้อมูลที่จะเขียนลงไปนั้นต้องถูกต้องชัดเจน ดังนั้นผู้เขียนจะต้องรู้ชัดรู้จริง

การเขียนคำนำ
        เป็นการเกริ่นเรื่อง ขอย้ำว่าแค่เกริ่นนะคะอย่าลึก ใช้คำโอบความหมายกว้างๆ เช่น
เรียงความเรื่องแม่ของฉัน ควรกล่าวถึงแม่โดยทั่วไปก่อน เขียนให้กินใจ น่าอ่าน น่าติดตาม
แต่ยังไม่ควรเล่าว่า " แม่ของฉัน "เป็นอย่างไร

เนื้อเรื่อง
      เนื้อเรื่องเป็นส่วนที่มีใจความสำคัญ ประเด็นสำคัญตามห้วข้อ ดังนั้นจะต้องเขียนให้ละเอียด
ครอบคลุม ชัดเจน เช่น เรื่องแม่ของฉัน ในย่อหน้าเนื้อเรื่องให้พรรณนาถึงพระคุณแม่
( เขียนในด้านบวก )

สรุป
        กลับไปอ่านคำนำและเนื้อเรื่องและสรุปจบให้ไปในทิศทางเดียวกัน ขอแนะนำว่า ควรให้
ข้อแนะนำ หรือแนวคิดดีๆ แล้วลงท้ายด้วยประโยคที่น่าสนใจ
            การเขียนเรียงความนั้นอาจจะขึ้นต้นย่อหน้าคำนำ หรือปิดท้ายในหัวข้อสรุป ด้วย กลอน
คติพจน์ วาทะ หรือคำขวัญ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้น่าติดตาม ( ถ้ายืมคำใครเขามาอย่าลืมอ้างอิง
นะคะ ) ภายในเรียงความควรประกอบด้วยโวหารหลายๆชนิด เพื่อให้ได้อรรถรสในการอ่าน ขั้นตอน
ในการเตรียมตัวเขียน นอกจากจะต้องเตรียมข้อมูลจัดทำโครงเรื่องแล้ว ควรเลือกใช้สำนวนโวหารให้
เหมาะกับเนื้อความที่ จะเขียน สำนวนโวหารในภาษาไทย แบ่งออกเป็น ๕ คือ

๑) บรรยายโวหาร

๒) พรรณนาโวหาร

๓) เทศนาโวหาร

๔) สาธกโวหาร

๕) อุปมาโวหาร
๑. บรรยายโวหาร คือ โวหารที่ใช้เล่าเรื่อง หรืออธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ตามลำดับเหตุการณ์
การเขียนบรรยายโวหารจะมุ่งความชัดเจน เขียน ตรงไปตรงมา รวบรัด กล่าวถึงแต่สาระสำคัญ
ไม่จำเป็นต้องมีพลความ หรือความปลีกย่อยเสริม ในการเขียนทั่ว ๆ ไปมักใช้บรรยายโวหาร เพราะ
เหมาะในการติดต่อสื่อสารเนื่องจากสำนวนประเภทนี้มุ่งสาระเขียนอย่างสั้น ๆ ได้ความชัดเจน
 ๒. พรรณนาโวหาร มีจุดมุ่งหมายในการเขียนต่างจากบรรยายโวหาร คือมุ่งให้ความแจ่มแจ้ง
ละเอียดลออ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ซาบซึ้งเพลิดเพลินไปกับข้อความนั้นการเขียนพรรณาโวหารจึง
ยาวกว่าบรรยายโวหารมาก แต่มิใช่การเขียนอย่างเยิ่นเย้อ เพราะพรรณนา-โวหารต้องมุ่งให้ภาพ
และอารมณ์ ดังนั้น จึงมักใช้การเล่นคำ เล่นเสียง ใช้ภาพพจน์แม้เนื้อความที่เขียนจะน้อยแต่เต็มไป
สำนวนโวหารที่ไพเราะ อ่านได้รสชาติ
๓. เทศนาโวหาร หมายถึง โวหารที่มีจุดหมายแสดงความแจ่มแจ้งเพื่อให้ผู้อ่านคล้อยตาม
หรืออาจกล่าวได้ว่ามุ่งชักจูงให้ผู้อ่านคิดเห็นหรือคล้อยตามความคิดเห็นของผู้เขียนเทศนาโวหาร
จึงยากกว่าโวหารที่กล่าว
๔.สาธกโวหาร คือ โวหารที่มุ่งให้ความชัดเจน โดยการยกตัวอย่างเพื่ออธิบายให้แจ่มแจ้ง
หรือสนับสนุนความคิดเห็นที่เสนอให้หนักแน่น น่าเชื่อถือ สาธกโวหารเป็นโวหารเสริม บรรยายโวหาร
พรรณนาโวหาร
 ๕.อุปมาโวหาร หมายถึง โวหารเปรียบเทียบ โดยกตัวอย่าง สิ่งที่คล้ายคลึงกันมาเปรียบ
เพื่อให้เกิดความชัดเจนด้านความหมาย ด้านภาพ และเกิดอารมณ์ ความรู้สึกมากยิ่งขึ้น กล่าวได้ว่า
อุปมาโวหาร คือ ภาพพจน์ประเภทอุปมานั่นเอง อุปมาโวหารใช้เป็นโวหารเสริม บรรยายโวหาร
พรรณนาโวหาร และเทศนาโวหาร เพื่อให้ชัดเจนน่าอ่าน โดยอาจเปรียบเทียบอย่างสั้น ๆ หรือ
เปรียบเทียบอย่างละเอียดก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปมา โวหารนั้นจะนำไปเสริมโวหารประเภทใด

        การเขียนเรียงความที่ดีนั้นควรตีกรอบความคิดของผู้เขียนเอาไว้อย่างชัดเจน เพราะจะทำให้
งานเขียนไม่วกวน จนผู้อ่านเกิดความสับสนทางความคิด และที่สำคัญเรียงความจะต้องใช้ภาษา
อย่างเป็นทางการ อย่าใช้ภาษาพูดเป็นอันขาดเพราะจะทำให้งานเขียนขาดความน่าเชื่อถือ

การคัดลายมือที่ถูกวิธี


การคัดลายมือที่ถูกวิธี

         ลายมือ คือ ตัวหนังสือเขียน ที่มีลักษณะแสดงว่า เป็นของผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ
การคัดลายมือ นอกจากจะทำให้ผู้คัดเขียนหนังสือได้สวยงามแล้ว ยังเป็นการฝึกให้รู้จักรักษาความสะอาด และเขียนให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอีกด้วย เราจึงควรฝึกคัดลายมือให้ถูกวิธี เพราะถ้าเขียนผิดบ่อยๆ จะทำให้เคยชิน และติดเป็นนิสัย ซึ่งจะทำให้กลายเป็ฯคนที่มีลายมือไม่สวยตลอดไป
การคดลายมือให้ถูกวิธีควรปฏิบัติ ดังนี้
1. นั่ง วางสมุด และจับดินสอด้วยท่าทางที่ถูกต้อง
2. ตั้งใจและมีสมาธิในการคัด
3. เขียนตัวอักษรถูกต้องตามแบบการเขียนดักษรไทย
4. เขียนพยัญชนะจรดเส้นบรรทัดบน-ล่าง
5. เว้นระยะช่องไฟให้เทากันและสม่ำเสมอ
6. วางรูปพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ให้ถูกตำแหน่ง

รสทางวรรณคดีไทย



 
รสทางวรรณคดีที่ มีอยู่ ๔ ชนิด คือ เสาวรจนี นารีปราโมทย์ พิโรธวาทัง
และสัลลาปังคพิไสย 
 
       ๑. เสาวรจนี เป็นการชมความงาม ชมโฉม เช่น
 
หนุ่มน้อยโสภาน่าเสียดาย           ควรจะนับว่าชายโฉมยง
ทนต์แดงดั่งแสงทับทิม               เพริศพริ้มเพรารับกับขนง
เกศาปลายงอนงามทรง              เอวองค์สารพัดไม่ขัดตา...
 
จากบทข้างต้น เป็นการกล่าวชมรูปโฉมของวิหยาสะกำ ซึ่งถูกสังคามาระตาสังหาร กล่าวว่าวิหยาสะกำนั้น เป็นชายหนุ่มรูปงาม ฟันนั้นเป็นแสงแวววาวสีแดงราวกับแสงของทับทิม ซึ่งตัดรับกับคิ้ว รวมทั้งปลายเส้นผมซึ่งงอนงามขึ้นเป็นทรงสวยงาม รับกับทรวดทรงองค์เอวของวิหยาสะกำ
 
๒.นารีปราโมทย์ คือ การทำให้ ผู้หญิงชอบ ซึ่งรูปแบบหนี่งก็คือ การแสดงความรักผ่านการเกี้ยวแลโอ้โลมปฏิโลม คำว่า "โอ้โลมปฏิโลม" นี้ ความหมายหมายถึง การใช้มือลูบไปตาม (โอ้) แนวขน (โลมา) และย้อน (ปฏิ) ขนขึ้นมา เช่น ตอนที่อิเหนากำลังสั่งลาจากนางจินตะหรา คือ
 
 
เมื่อนั้น                            พระสุริย์วงศ์เทวัญอสัญหยา
โลมนางพลางกล่าววาจา            จงผินมาพาทีกับพี่ชาย
ซึ่งสัญญาว่าไว้กับนวลน้อง          จะคงครองไมตรีไม่หนีหน่าย
มิได้แกล้งกลอกกลับอภิปราย      อย่าสงกาว่าจะวายคลายรัก

จากบทข้างต้น ก็คือบทที่อิเหนาได้บอกกล่าวกับจินตะหรา ว่าตนไปก็คงไปเพียงไม่นาน
        
๓. พิโรธวาทัง คือการแสดงความโกธรแค้นผ่านการใช้คำตัดพ้อต่อว่า ทั้งยังแสดงความน้อยเนื้อต่ำใจความผิดหวัง ความแค้นคับ และความโกรธ เช่น
เมื่อนั้น                        พระผู้ผ่านไอศูรย์สูงส่ง
 ประกาศิตสีหนาทอาจอง        จะณรงค์สงครามก็ตามใจ
 ตรัสพลางย่างเยื้องยุรยาตร    จากอาสน์แท่นทองผ่องใส
 พนักงานปิดม่านทันใด           เสด็จเข้าข้างในฉับพลันฯ

ในบทที่ยกมานี้ เป็นตอนที่ท้าวดาหาได้ฟังความจากราชทูตของเมืองกะหมังกุหนิง
 
๔. สัลลาปังคพิไสย คือ การโอดคร่ำครวญ หรือบทโศกด้วยการจากสิ่งอันเป็นที่รัก เช่น บทที่อิเหนากำลังชมนกชมไม้ระหว่างจะไปดาหา 

                   ว่าพลางทางชมคณานก   โผนผกจับไม้อึงมี่
 เบญจวรรณจับวัลย์ชาลี              เหมือนวันพี่ไกลสามสุดามา
         นางนวลจับนางนวลนอน             เหมือนพี่แนบนวลสมรจินตะหรา
         จากพรากจับจากจำนรรจา          เหมือนจากนางสการะวาตี
         แขกเต้าจับเต่าร้างร้อง                เหมือนร้างห้องมาหยารัศมี
         นกแก้วจับแก้วพาที                     เหมือนแก้วพี่ทั้งสามสั่งความมา

       จากบทข้างบน จะเห็นได้ว่าอิเหนากำลังโศกเศร้าอย่างหนัก จะเรียกว่าอยู่ในขั้นโคม่าเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะมองอะไร ก็นึกถึงแต่นาง ทั้งสามที่ตนรัก คือนางจินตะหรา มาหยารัศมี และสการะวาตี