Friday, September 21, 2012

แนะนำเว็บไซต์

ขอแนะนำบล็อกที่รวบรวมผลงานหนังสือนิทานอีบุ้ค (e-book) หรือหนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์ ผลงานทั้งหมดจัดทำขึ้นโดยนักศึกษาที่เรียนในรายวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสานสนเทศเพื่อการศึกษา สอนโดย อาจารย์อัจฉริยะ วะทา โดยบล็อกนี้มีชื่อว่า atinno.blogspot.com
มีหนังสือนิทานอีบุ้คที่เป็นฝีมือของนักศึกษาในหลายๆ สาขา หลายเรื่องน่าอ่านและสามารถโหลดเก็บไว้หรือนำไปสอนได้ด้วย

อย่าลืมนะค่ะ เป็นเว็บที่อยากจะแนะนำ เหมาะสำหรับผู้ที่อยากจะทำหนังสือแบบทำมือและทำเป็นอีบุ้ค (e-book)

โครงการเรียนรู้จากหน่วยงานภายนอกมหาวิทยาลัย
ณ บ้านหลังเรียนปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช

แหล่งเรียนรู้ชุมชน ครอบครัวปู่ทวดครูสิงห์ สืบสานเจตนารมย์บรรพบุรษจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านหลังเรียน สอนพิเศษให้กับนักเรียนในชุมชน
     
      แหล่งเรียนรู้รู้ชุมชนหรือบ้านหลังเรียนของหลวงปู่ทวดครูสิงห์ ซึ่งเป็นสถานทีบ้านหลังเล็กเปรียบเหมือนสถานศึกษาศิษย์ที่บุตรและธิดาได้สืบสานอุดมการณ์ต่อจากวิถีคิดของพ่อกับแม่ว่า ต้องการสร้างโรงเรียนให้การศึกษาแก่บุตรหลานในชุมชนตนเอง ที่บ้านกุดแคนหมู่ 6 ตำบลหนองโน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ครอบครัวปู่ทวดครูสิงห์และแม่สง่า ฤทธิเดช ได้ร่วมกันจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านหลังเรียนปู่ทวดครูสิงห์แม่สง่า ฤทธิเดช เปิดสอนพิเศษให้กับนักเรียนในชุมชนตำบลหนองโน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม โดยเปิดทำการสอนให้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 6 มีนักเรียนทั้งสิ้น 80 คน จาก 12 หมู่บ้าน เปิดเรียนวันเสาร์ และวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 09.30 น.-12.30น.โดย โดยห้องเรียนใช้บริเวณห้องโถงข้างบ้าน และสวนหลังบ้านใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติ

 โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสารสนเทศเพื่อการศึกษา

สามารถดาวน์โหลดรายละเอียดโครงการคลิกที่นี่

โครงการเรียนรู้เชิงวิชาการจากหน่วยงานภายนอกมหาวิทยาลัย


ณ. “แหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านหลังเรียนปู่ทวดครูสิงห์”

 โครงการบ้านหลังเรียน “แหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านหลังเรียนปู่ทวดครูสิงห์” บ้านกุดแคน ต.หนองโน อ.เมือง จ.มหาสารคาม เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อสานต่ออุดมการณ์ของ “ปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช” อดีตครูประชาบาลที่มีความต้องการสร้างโรงเรียนให้ชุมชน และเพื่อแก้ปัญหาเยาวชนใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนไปทำกิจกรรมเสี่ยง ด้วยการเปิดพื้นที่สร้างสรรค์เพื่อกันเด็กและเยาวชนไม่ให้หลงทางเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่เสี่ยงในสังคม ให้หันมาใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ภายใต้แนวคิดเด็กนำผู้ใหญ่หนุนโดยมีดร.ประสพสุข ฤทธิเดช หรือ “อาจารย์ป้าต๋อย” ผู้อำนวยการและผู้ประสานงานแหล่งเรียนรู้ชุมชนฯ
สามารถดาวน์โหลดรายละเอียดโครงการ คลิกที่นี่


นิทานเรื่อง ลูกแมวของหนูดี
 แต่งโดย นางสาวจิรฐา ทิพราช
รหัสนักศึกษา 533410010306
 จำนวน 13 หน้า

 1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13

สามารถดาวน์โหลดได้คลิกที่นี่






Wednesday, September 19, 2012

สุนทรียภาพทางภาษา


 สุนทรียภาพทางภาษา 

        เมื่อกล่าวถึงวรรณคดี เป็นศิลปะที่ต้องมีสุนทรียภาพทางภาษา ผู้แต่งต้องพิถีพิถัน คำนึงถึงภาษาที่จะเสนอความคิดและต้องกำหนดเรื่องให้เหมาะสมด้วย รูปแบบวรรณคดีไทย สามารถแบ่งได้ 2 แบบ

      1. การยึดลักษณะการแต่งเป็นหลัก คือ ร้อยแก้ว - ร้อยกรอง ในแต่ละประเภท ยังมี รูปแบบแยกย่อยออกไป เช่น ร้อยกรอง แบ่งเป็น กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ เป็นต้น
      2. การคำนึงถึงประโยชน์การใช้เป็นหลัก คือ
  • วรรณคดีบริสุทธิ์ (Pure Literature) เขียนขึ้นเพื่อความเพลิดเพลินหรือเพื่อ สนองอารมณ์โดยเฉพาะ ไม่มุ่งประโยชน์อย่างอื่นโดยตรง
  • วรรณคดีประยุกต์ (Applied Literature) เขียนขึ้นเพื่อประโยชน์อย่างใด อย่างหนึ่ง เช่น เพื่อสั่งสอนอบรม เพื่อสดุดีวีรกรรม

วรรณคดีเป็นประณีตศิลปะ


วรรณคดีเป็นประณีตศิลปะ 

             นักปราชญ์ได้จัด วรรณคดี การวาดรูป การปั้นสลัก ดนตรี และการก่อสร้างเข้าไว้ใน พวกประณีตศิลปะ (Fine Arts) ส่วนศิลปะประเภทอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกันและมีจุดหมายพ้องกัน คือการสร้างสรรค์ความงามก็อนุโลมเรียกประณีตศิลป์ด้วย เช่น การแสดงสุนทรพจน์ และการฟ้อน รำ ความจริง ความแตกต่างระหว่างศิลปะเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราจะเห็นได้โดยไม่ยากนัก การวาดรูป และการปั้นสลักเป็นศิลปะประเภทที่เลียนธรรมชาติ คือ เอาธรรมชาติเป็นหุ่น การวาดรูปต่างกับ การถ่ายรูป โดยนัยที่ว่าศิลปินผู้วาดย่อมวาดไปตามอารมณ์และทัศนะของตน บางคนอาจจะวาดต้น ไม้สีน้ำเงินหรือสีแดง บางคนใช้เพียงเส้นในการแสดงออก ส่วนการถ่ายภาพเป็นวิธีลอกแบบธรรม ชาติโดยตรง บุคลิกลักษณะของผู้ถ่ายมีส่วนประกอบน้อยที่สุด ทั้งสองวิธีมีลักษณะที่พ้องกันอยู่ คือ การยึดธรรมชาติ และเลียนแบบจำลองธรรมชาติเป็นหลัก การปั้นสลัก (sculpture) ก็จัดเข้าไว้ใน ศิลปะบางประเภทนี้ แต่ไม่ใช่การจำลองธรรมชาติโดยตรง วัสดุในการสร้าง เช่น สำริด หรือหิน อ่อน นั้นทำให้แตกต่างจากความเป็นจริง มีศิลปะประเภทหนึ่งที่ยากจะบอกว่าเป็นการเลียนธรรม ชาติ คือ ดนตรีและสถาปัตยกรรม ดนตรีที่ไพเราะไม่จำเป็นต้องเป็นดนตรีที่ประกอบขึ้นจากเสียงที่ เลียนธรรมชาติ เช่น เสียงที่หนัก เบา สูงต่ำ แหลม ทุ้ม ทำให้เกิดความรู้สึกต่าง ๆ ดนตรีคือการ เรียงลำดับเสียงให้ไพเราะโดยการลำดับและเลือกเฟ้น 

วรรณคดี เป็นศิลปะที่พึงจัดเข้าไว้ในจำพวกที่เลียนธรรมชาติ เช่นเดียวกับการวาดเขียน และการปั้นสลัก สิ่งที่เป็นเนื้อเรื่อง (material) ของวรรณคดีก็เช่นเดียวกับการวาดรูป การปั้น สลัก กล่าวคือ ธรรมชาติ ซึ่งรวมมนุษย์ สัตว์ และธรรมชาติภายนอกคือ ป่า ทะเล ลำเนาไพร เครื่องมือ ที่กวีใช้ก็คือ คำและปากกา ซึ่งเปรียบได้กับสิ่งของช่างสลัก สีและพู่กันของช่างเขียน มนุษย์บังคับ ธรรมชาติให้เกิดเป็นศิลปวัตถุที่คล้อยตามทัศนะของตน 

การชมความงดงามของนางในวรรณคดี


การชมความงดงามของนางในวรรณคดี

            การชมความงดงามของนางในวรรณคดีไทย สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ การกล่าวชมแบบรวม และการกล่าวชมแบบแยกส่วน 

1. การกล่าวชมแบบรวม เป็นการพิจารณาความงามทั้งหมดของ ตัวละครนั้น กลวิธีที่ใช้คือ กวีอาจกล่าวชมตรง ๆโดยไม่มีการใช้ ความเปรียบ หรือกล่าวชมโดยใช้ความเปรียบก็ได้ ในกรณีที่มีการเปรียบเทียบจะพบลักษณะดังต่อไปนี้คือ การชมว่างามกว่าหญิงอื่น หญิงนั้นอาจจะเป็นมนุษย์ หรือเทวนารีก็ได้ เช่น 

“เห็นนางสีดาวิลาวัณย์ งามดั่งดวงจันทร์ไม่ราคี 
มาตรแม้นถึงองค์พระอุมา นางสุชาดาโฉมศรี 
นางสุจิตราเทวี สุนั้นทานารีอรไท 
ทั้งสุธรรมานงคราญ จะเปรียบงามเยาวมาลย์ก็ไม่ได้ 
ทั้งสวรรค์ชั้นฟ้าสุราลัย ไกลกันกับโฉมสีดา” 
(รามเกียรติ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) 

2. การกล่าวชมแบบแยกส่วน จำแนกเป็นการชมความงามเฉพาะใบหน้าและผิวพรรณ ซึ่งเป็นส่วนที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด และการชมความงาม ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายตามขนบวรรณคดี เช่นคิ้วงามเหมือนคันศร ตางามเหมือนเนื้อทราย จมูกงามเหมือนขอ หูงามเหมือนกลีบบัว 

ข้อสังเกตประการหนึ่งในการชมความงามของนางในวรรณคดี 
    ไม่ว่าชมแบบรวม หรือชมแบบแยกส่วน ผู้อ่านไม่สามารถแยกความแตกต่างอันเป็นลักษณะความงามเฉพาะตน ของนางในวรรณคดีแต่ละ เรื่องได้ เนื่องจากการชมความงามไปในทำนองเดียวกันตามขนบวรรณคดี